เคยสงสัยกันไหมว่าล่ามศัลยกรรมเกาหลีทำอะไรกันบ้าง? หลายคนอาจจะคิดว่าก็แค่แปลภาษาให้คนไข้กับคุณหมอคุยกันรู้เรื่อง แต่นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น จริง ๆ แล้วบทบาทของล่ามศัลยกรรมนั้นมีอะไรมากกว่าที่คิดเยอะ เพราะล่ามคือคนสำคัญที่จะช่วยให้การเดินทางสู่ความสวยที่เกาหลีราบรื่นและไร้กังวล ตั้งแต่ก่อนผ่าตัด ระหว่างผ่าตัด ไปจนถึงหลังผ่าตัด
ในบทความนี้ เคทจะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับล่ามศัลยกรรมเกาหลีให้มากขึ้น ว่ามีหน้าที่อะไรบ้าง ทำไมถึงสำคัญ และบทบาทที่ “มากกว่าแค่การแปลภาษา” จะมีอะไรอีกบ้าง ถ้าพร้อมแล้ว ไปดูกันเลย
ล่ามศัลยกรรมเกาหลี คืออะไร?
ล่ามกลุ่มนี้ไม่ใช่แค่คนที่พูดภาษาเกาหลีได้คล่องอย่างเดียว แต่ล่ามมีความรู้พิเศษมาก ๆ ทั้งเรื่องคำศัพท์ทางการแพทย์และศัลยกรรมโดยเฉพาะ แถมยังมีประสบการณ์ในการเข้าฟังการปรึกษาและพูดคุยกับคุณหมอศัลยกรรมชาวเกาหลีโดยตรงอีกด้วย
หน้าที่หลัก ๆ ของล่ามศัลยกรรมเกาหลีก็คือ การเป็นตัวกลางช่วยแปลและอธิบายทุกอย่างที่คุณหมอแนะนำให้คนไข้ฟัง ไม่ว่าจะเป็นเทคนิคการผ่าตัด ขั้นตอนต่าง ๆ หรือแม้แต่ข้อควรระวังต่าง ๆ เพื่อให้คนไข้เข้าใจข้อมูลทางการแพทย์ได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน และสบายใจที่สุดก่อนตัดสินใจทำศัลยกรรมนั่นเอง
ล่ามศัลยกรรมมีกี่รูปแบบ

จริง ๆ แล้วอาชีพนี้มีอยู่ 3 รูปแบบหลัก ๆ ลองมาดูกันว่ามีแบบไหนบ้าง
- ล่ามประจำโรงพยาบาลศัลยกรรมที่เกาหลีใต้
ล่ามกลุ่มนี้ก็คือคนที่ทำงานฟูลไทม์อยู่ในโรงพยาบาลศัลยกรรมที่เกาหลีใต้ หน้าที่หลัก ๆ ก็คือช่วยสื่อสารระหว่างหมอกับคนไข้ต่างชาติ ตั้งแต่ขั้นตอนปรึกษา ไปจนถึงการผ่าตัดและดูแลหลังผ่าตัดเลย เรียกได้ว่าเป็นล่ามที่อยู่ใกล้ชิดคนไข้มากที่สุด - ล่ามประจำบริษัทเอเจนซี่ศัลยกรรมเกาหลี
สำหรับล่ามกลุ่มนี้จะทำงานกับบริษัทเอเจนซี่ที่คอยดูแลลูกค้าที่อยากไปทำศัลยกรรมที่เกาหลี ซึ่งจะช่วยประสานงานตั้งแต่ก่อนเดินทาง จัดการเรื่องนัดหมาย เตรียมเอกสาร และก็ไปเป็นล่ามให้ลูกค้าที่โรงพยาบาล คล้าย ๆ กับเป็นผู้ช่วยส่วนตัวที่ดูแลทุกอย่างให้เลย - ล่ามศัลยกรรมฟรีแลนซ์
ส่วนล่ามฟรีแลนซ์ก็คือคนที่รับงานเอง ไม่ได้สังกัดที่ไหนเป็นพิเศษ ลูกค้าของล่ามกลุ่มนี้ก็จะมีทั้งคนที่บินมาทำศัลยกรรมเองโดยตรง หรือคนที่มาผ่านเอเจนซี่ศัลยกรรมเกาหลีก็ได้ หน้าที่ของล่ามฟรีแลนซ์ก็จะยืดหยุ่นกว่า ขึ้นอยู่กับว่าตกลงกับลูกค้าแบบไหน อาจจะไปช่วยแปลแค่บางช่วงเวลา หรือแปลให้ตลอดทริปก็ได้
ล่ามศัลยกรรมเกาหลีต้องมีทักษะอะไรบ้าง

- ภาษาเกาหลีต้องดี
การจะเป็นล่าม ต้องได้ภาษาเกาหลีดีมาก ๆ ทั้ง พูด ฟัง อ่าน เขียน เพราะเวลาแปลจริง ๆ ต้องใช้ทุกทักษะควบคู่กันไป ไม่มีทางทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่งได้เลย - พูดเกาหลีให้เหมือนเจ้าของภาษา
หมั่นฝึกฝนบ่อย ๆ ถ้ามีโอกาสได้ฝึกกับเจ้าของภาษาอย่าไปเขินอาย ไม่ต้องกลัวผิด ไม่มีใครเก่งตั้งแต่แรกอยู่แล้ว หรือถ้าเรียนด้วยตัวเอง ไม่มีครูหรือเพื่อนคนเกาหลี ลองใช้สื่อต่าง ๆ ช่วยได้ เช่น ฟังเยอะ ๆ จากหนัง เพลง ซีรีส์ รายการต่าง ๆ เพราะการฟังกับการพูดมันมาคู่กัน ฟังบ่อย ๆ
ปัจจุบัน ช่องทางการฝึกพูดก็ง่ายขึ้นเยอะ มีแอปพลิเคชันแลกเปลี่ยนภาษา ที่สามารถเข้าไปคุยกับเจ้าของภาษาได้เลย หรือแม้แต่ Clubhouse ที่ฮิต ๆ กันตอนนี้ ก็มีคนเปิดห้องให้ชาวต่างชาติเข้าไปคุยกับคนเกาหลีได้ทุกวันเลย แถมไม่เสียเงินด้วย - ต้องรอบรู้ทุกด้าน
งานล่ามคือการแปลคำพูดคนอื่น ซึ่งเราแทบจะเดาไม่ได้เลยว่าจะพูดอะไรออกมาบ้าง บางทีคุยเพลิน ๆ อาจจะออกนอกเรื่องไปไกลเลยก็ได้ ดังนั้นล่ามจะต้องมีคลังคำศัพท์ที่หลากหลายและกว้างขวาง ไม่ใช่แค่ศัพท์ที่จำเป็นสำหรับงานวันนั้นอย่างเดียว ที่สำคัญต้องรอบรู้เรื่องราวต่าง ๆ ทั้งสถานการณ์ในเกาหลี โลกปัจจุบัน และเรื่องราวในแวดวงที่ไปล่ามด้วย - ไหวพริบต้องดี แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เก่ง
การเป็นล่าม ไม่ว่าจะงานเล็กงานใหญ่ สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ ต้องแปลสดทันที ซึ่งอะไรที่สด ๆ จะมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ เช่น หูฟังไม่ได้ยิน ไมค์ดับ เจอคำถามไม่เหมาะสม หรือผู้พูดตอบไม่ตรงคำถาม ล่ามในฐานะคนกลาง มีหน้าที่ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ให้งานผ่านไปอย่างราบรื่น ไม่ให้เกิดความขัดแย้งระหว่างสองฝ่าย ต้องตัดสินใจได้เร็วในสถานการณ์คับขัน - นอกจากแปลได้ ต้องทำได้ทุกอย่าง
เพราะล่ามเป็นคนเดียวที่ทุกคนสื่อสารด้วยรู้เรื่อง ไม่ว่าใครจะสงสัย อยากรู้ หรือต้องการอะไร คนแรกที่เขาจะมาหาก็คือล่าม และก็คาดหวังว่าจะตอบคำถามได้ทันที ส่วนใหญ่แล้วล่ามเลยต้องทำมากกว่าแค่แปล ต้องรู้ข้อมูลพื้นฐานของงานนั้น ๆ
การเตรียมตัวทำงานล่ามศัลยกรรมเกาหลี

ก่อนจะไปลุยงานล่าม มาเตรียมตัวให้พร้อมกันก่อนดีกว่า จะได้ทำงานได้แบบมืออาชีพสุด ๆ
รู้จักคนที่เรากำลังจะทำงานด้วย
ก่อนอื่นเลย มาทำความรู้จักกับคนที่กำลังจะทำงานด้วยกันก่อน ไม่ว่าจะเป็นบริษัทอะไร หรือคุณหมอท่านไหน ลองสืบดูประวัติให้ละเอียดว่าเป็นใคร มาจากไหน เคยให้สัมภาษณ์ที่ไหนไว้บ้างไหม? ถ้ามีก็ไปฟังให้หมด อย่างน้อยเราก็จะได้รู้สไตล์การพูดของเขา ยิ่งฟังเยอะ ยิ่งคุ้นเคยมากเท่าไหร่ ก็จะยิ่งแปลได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
ศึกษาข้อมูลเรื่องที่เราจะแปล
นอกจากคนแล้ว เนื้อหาที่จะแปลก็สำคัญไม่แพ้กัน การเป็นล่ามไม่ได้มีแค่หน้าที่แปลอย่างเดียว แต่ต้อง เข้าใจสิ่งที่คุณหมอพูดด้วย ยกตัวอย่างง่าย ๆ สมมติว่าวันนี้คุณต้องแปลเรื่องเกี่ยวกับการศัลยกรรมจมูก สิ่งที่คุณต้องทำคือ
- ขอข้อมูลล่วงหน้า ถ้าเป็นไปได้ ขอเอกสารหรือข้อมูลเกี่ยวกับการศัลยกรรมจมูกจากคลินิกหรือคุณหมอมาศึกษาก่อน
- ศึกษาขั้นตอน ทำความเข้าใจว่าการผ่าตัดจมูกมีขั้นตอนยังไงบ้าง ใช้เทคนิคอะไรบ้าง
- เตรียมศัพท์เฉพาะ เตรียมคำศัพท์ทางการแพทย์และศัพท์เฉพาะที่เกี่ยวกับศัลยกรรมจมูกไว้ล่วงหน้าเลย เช่น “ซิลิโคน”, “กระดูกอ่อนหลังหู”, “ปลายจมูกหยดน้ำ” เป็นต้น
รายได้ล่ามศัลยกรรมเกาหลีดีไหม เท่าไร?
มาคุยเรื่องรายได้ของอาชีพล่ามศัลยกรรมเกาหลีกันบ้างดีกว่า หลัก ๆ แล้ว งานล่ามจะแบ่งได้เป็น 2 สายงานใหญ่ ๆ คือ ล่ามบริษัทกับล่ามฟรีแลนซ์
- ล่ามบริษัท
- ล่ามบริษัท ก็คือการเป็นพนักงานประจำของบริษัทนั้น ๆ ก็จะได้รับเงินเดือนตามที่ตกลงกัน ซึ่งบอกเลยว่าสายนี้ค่อนข้างมั่นคงกว่าฟรีแลนซ์มาก
- ล่ามฟรีแลนซ์
- ส่วนล่ามฟรีแลนซ์แบบที่ปอทำอยู่ รายได้จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยทั้งความขยันของเรา (ถ้าเรารับงานเยอะ รายได้ก็เข้ามาเยอะตาม), ลักษณะของงาน แล้วก็เวลาที่เราสะดวกรับงานด้วย ซึ่งรายได้จะอยู่ที่ประมาณ 2,000-3,000 บาทต่องาน
ช่วงสถานการณ์ที่ผ่านมา งานอาจจะจัดยากขึ้นบ้าง ทำให้งานล่ามหายไปช่วงหนึ่ง แต่ตอนนี้ก็เริ่มกลับมาจัดแบบออนไลน์กันเยอะ เอาจริงๆ ถ้าเราสู้และขยันรับงาน ก็ถือว่ารายได้ดีในระดับหนึ่งเลย
สรุป
อาชีพล่ามศัลยกรรมเกาหลี ไม่ใช่แค่การแปลภาษาทั่วไป แต่เป็นบทบาทสำคัญที่ต้องใช้ทักษะหลากหลายมาก ๆ คนที่จะทำอาชีพนี้ได้ดีต้องมีความรู้ทางการแพทย์พอสมควร และที่สำคัญคือต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเก่งสุด ๆ ส่วนเรื่องรายได้ก็ถือว่าอยู่ในระดับดี แม้จะต้องเตรียมตัวและพัฒนาทักษะอยู่ตลอดเวลา แต่มันก็เป็นอาชีพที่มีโอกาสเติบโตและมั่นคงในอนาคตแน่นอน
ถ้าคุณสนใจอยากเป็นล่ามศัลยกรรมเกาหลี การมาเป็นล่ามกับ SR Surgery มีข้อดีที่ชัดเจนมาก ๆ เพราะว่า SR Surgery เป็นเอเจนซี่ที่มีระบบการดูแลลูกค้าที่ครบวงจร มีฐานลูกค้าที่แน่น และยังมีเครือข่ายโรงพยาบาลให้เลือกใช้บริการเยอะแยะไปหมด สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้ล่ามมีโอกาสได้รับงานอย่างสม่ำเสมอ ไม่ต้องกลัวงานหายเลย
นอกจากนี้ คุณยังได้รับการสนับสนุนทั้งข้อมูลและเอกสารที่จำเป็นสำหรับการเตรียมตัวล่วงหน้า ทำให้ทำงานได้ง่ายขึ้นเยอะ แถมยังมีทีมงานคอยให้คำปรึกษาและช่วยเหลือตลอดเวลา ซึ่งจะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างมืออาชีพและมีประสิทธิภาพมากขึ้นแน่นอน